ไหม-วรินรำไพ แจ่มจรัส นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาบริหารธุรกิจญี่ปุ่น (BJ) คณะบริหารธุรกิจ ปัจจุบันฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น ในโครงการ JTECS ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม -26 เมษายน 2567 (8 สัปดาห์) ณ บริษัท J.MORITA CORP. โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น

1. จุดเริ่มต้นของการเป็นนักศึกษาของTNI

    ครั้งแรกได้ยินชื่อ TNI คือตอนที่ยังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่จังหวัดเชียงรายค่ะ มีรุ่นพี่ที่จบไปแล้วมาแนะแนวเกี่ยวกับคณะและสาขา เพราะว่าในปัจจุบันแค่ภาษาญี่ปุ่นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการหางานทำแล้ว เลยสนใจคณะบริหารที่ได้เรียนทั้งวิชาบริหารและภาษาญี่ปุ่นควบคู่กัน ตอนนั้นลองถามพี่ที่มาแนะแนวไปว่า สาขาไหนเรียนญี่ปุ่นเข้มที่สุด จึงได้คำตอบมาเป็นสาขาบริหารธุรกิจญี่ปุ่นที่มีให้เรียนภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงควบคู่ไปกับวิชาบริหาร เลยตั้งใจทำพอร์ต (Portfolio) เข้าสาขานี้ตั้งแต่ตอนนั้นมาค่ะ ตอนประกาศผลว่าติดรอบพอร์ตและได้ทุนด้วย คือดีใจมากๆ เลยค่ะ

2. ทำไมเลือกไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น?

    เลือกไปฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นเพราะว่าสนใจในวัฒนธรรมองค์กรและสไตล์การคิด การทำงานของคนญี่ปุ่น นอกจากนั้นการได้อยู่สภาพแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นตลอด ทำให้เราได้พัฒนาทักษะการใช้ภาษาญี่ปุ่นระดับธุรกิจด้วยค่ะ

    อีกหนึ่งเหตุผลคือ อิมเมจของคนญี่ปุ่นสำหรับตัวเราเอง คนญี่ปุ่นเขามีความรอบคอบ จริงจัง และมีระเบียบวินัย เมื่อก่อนเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “ถ้าอยากเป็นคนแบบไหนให้ไปอยู่ใกล้ๆ คนแบบนั้น” นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่เลือกมาฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ

3. บอกเล่าประสบการณ์การฝึกงาน งานที่ได้ทำ เกี่ยวกับอะไรบ้าง และสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างไร?

    ต้องขอเกริ่นเกี่ยวกับบริษัทที่ได้ฝึกงานก่อนค่ะ J.MORITA CORP. นั้น ทำเกี่ยวกับการค้าส่ง ด้านทันตกรรมแบบครบวงจร และเก้าอี้ทันตกรรมค่ะ เป็นธุรกิจแบบ Business to Business

    เราฝึกงานอยู่ในแผนกกลยุทธ์ระหว่างประเทศ โดยส่วนใหญ่แล้ว งานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นการซัพพอร์ตเอกสารเกี่ยวกับพระราชบัญญัติเวชภัณฑ์ประเทศต่างๆ การขอใบรับรองอุปกรณ์การแพทย์ของกรมอาหารและยา สุดท้าย คือการซัพพอร์ตการฝึกอบรมทักษะภายใน (ฝึกอบรมภาษาอังกฤษ) เป็นหลักค่ะ

    ในส่วนของพี่เลี้ยงและคนในบริษัท ต้องบอกเลยว่าน่ารักกันมากๆ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายกันตั้งแต่ยามหน้าบริษัทจนถึงห้องผู้บริหาร บรรยากาศในที่ทำงานไม่ได้กดดันอย่างที่ทุกคนมีภาพจำกัน และไม่ได้ทำงานล่วงเวลากันแบบหนักหน่วงหรือกลับก่อนหัวหน้าไม่ได้แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นแล้วใครที่กำลังลังเลว่าจะไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นดีมั้ย ขอแนะนำให้ลองไปดูสักครั้งค่ะ! และทุกคนที่นี่ชอบยาดมกันมากๆ เลยค่ะ (หัวเราะ) 


    จากประสบการณ์ในการฝึกงานครั้งนี้ ได้อะไรเยอะมากๆ ไม่ใช่แค่ได้ยกระดับทักษะภาษาญี่ปุ่นของตัวเอง แต่ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร การบริหารจัดการงานและเวลา การจัดการประชุมให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดได้อย่างไร การส่งออกและนำเข้าอุปกรณ์การแพทย์ รูปแบบการเขียนจดหมายและรับโทรศัพท์ในธุรกิจญี่ปุ่น การทำสัญญาและยื่นขออนุญาตระหว่างประเทศ ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มีในบริษัทญี่ปุ่น แต่อาจจะยังไม่มีในไทย และสามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตได้ ต้องเรียกว่าได้ทั้งความรู้ ทักษะใหม่ๆ และประสบการณ์การทำงานเยอะเลยค่ะ
4. ชีวิตนักศึกษา Internship ในแดนซากุระเป็นอย่างไรบ้าง?
    อาหารอร่อยถูกใจมาก เรียกได้ว่าตั้งแต่มาถึงก็กินไม่หยุดเลย รสชาติอาหารที่โอซาก้าสมชื่อเมืองรวมของอร่อยอย่างแท้จริง
    ในสองสัปดาห์แรกที่เข้ามาเป็นนักศึกษาฝึกงาน สิ่งที่ต้องปรับตัวมากที่สุดเลย คือคำศัพท์ ในระดับธุรกิจ และเลเวลของคำศัพท์ถือว่าสูงมากๆ ทั้งศัพท์ธุรกิจ ศัพท์เฉพาะด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านทันตกรรมและเวชภัณฑ์ เพียงแค่ 2 สัปดาห์แรก มีคำศัพท์เพิ่มในสมุดจดคำศัพท์เกือบ 100 คำ เลยทีเดียว
    ในสัปดาห์ที่ 3 - 4 เริ่มปรับตัวเข้ากับงานและคำศัพท์ได้แล้ว หลายๆ คำ ที่เคยไม่เข้าใจก็ได้เข้าใจมากขึ้น ทำให้เวลาเข้าร่วมประชุมเราสามารถจับใจความเนื้อหาได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
ส่วนด้านการใช้ชีวิตในประเทศญี่ปุ่น สำหรับเราแล้ว สิ่งที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่คุ้นชิน คือการทิ้งขยะ ในสัปดาห์แรกอาจจะลำบากหน่อย แต่สักพักก็คุ้นชินไปเองโดยไม่ต้องไปเปิดดูโพยแล้วค่ะ (หัวเราะ)
    หลังจากไปฝึกงาน 5 วัน ตอนสุดสัปดาห์มักจะไปเที่ยวค่ะ แต่ช่วงแรกที่มาถึงนั้นสภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจเท่าไร ฝนตกทุกสัปดาห์ และอากาศค่อนข้างเย็น ประมาณ 4 – 5 องศา แถมบางวันจู่ๆ หิมะก็ตกลงมา สิ้นเดือนมีนาคมแล้วซากุระยังไม่เริ่มบาน แต่อะไรก็หยุดเราจากการไปเที่ยวไม่ได้ ส่วนใหญ่เที่ยวในตัวเมืองโอซาก้า เริ่มจากเขตที่อยู่แล้วไปโซนอุเมดะ ย่านการค้าต่างๆ พิพิธภัณฑ์ โซนนัมบะ โซนปราสาท เรียกว่าเก็บหมดทั้งเมืองแล้ว

    เวลาว่างส่วนใหญ่ นอกจากท่องศัพท์และอ่านนิยาย จะนั่งดูเซมบัตสึ (การแข่งขันเบสบอลระดับชั้นมัธยมปลายระดับประเทศ ประจำฤดูใบไม้ผลิ) โดยส่วนตัวชอบเบสบอลมาก ตอนที่ได้ไปดูในสนามจริงๆ ไม่ผ่านไลฟ์สด คือดีใจจนน้ำตาไหลเลยค่ะ (หัวเราะ)
5. ฝึกงานจบแล้วสนใจไปทำงานในประเทศญี่ปุ่นไหม?
    สนใจค่ะ สนใจมากๆ เลย (หัวเราะ) จากการฝึกงานในครั้งนี้ ทำให้รู้ว่ายังมีสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้อีกมากในประเทศนี้ และประสบการณ์นั้นจะช่วยทำให้เราเป็นคนที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นไปได้ก็สนใจทำงานกับบริษัทที่เรามาฝึกงานค่ะ เพราะเขาดูแลพนักงานเขาดีจริงๆ
6. TNI ให้โอกาสกับเราในด้านไหนบ้าง?
    ต้องขอขอบคุณทางสถาบันเป็นอย่างสูงเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ได้เข้าศึกษาต่อที่นี่ คงไม่ได้รับโอกาสมากมายขนาดนี้ ทั้งทุนการศึกษา โอกาสในการไปแลกเปลี่ยนระยะสั้นและยาวในสถาบันที่มีชื่อเสียงต่างๆกว่า 80 ที่ในประเทศญี่ปุ่น โอกาสเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมต่างๆ จนทำให้เราได้มีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นมากมายจากคนที่มาเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนั้นยังได้โอกาสเข้าร่วมการแข่งขันเก็บผลงานต่างๆ ได้ลองทำธุรกิจจริงๆ ซึ่งได้รายได้จริงค่ะ และยังได้รับโอกาสในการฝึกใช้ภาษาญี่ปุ่นขั้นสูงในระดับธุรกิจ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ และสุดท้าย คือโอกาสในการมาฝึกงานที่ประเทศญี่ปุ่น
7. อยากฝากอะไรถึงนักศึกษา TNI คนอื่นๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ และมีความฝันอยากไปฝึกงาน หรือทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นบ้าง?
    แนะนำให้ลองสมัครเข้าโครงการต่างๆ ที่ทางสถาบันมีให้เลยค่ะ หรือจะสอบถามข้อมูลจากศูนย์สหกิจศึกษาได้ โอกาสเป็นของผู้ที่แสวงหาเสมอ! เพราะงั้นต้องลองดูสักตั้งค่ะ! 
สำหรับคนที่กังวลเรื่องทักษะภาษาญี่ปุ่น จริงๆ ไม่ต้องกังวลเลย เพราะในการสัมภาษณ์นั้นทางบริษัทจะดูสปิริตและความเป็นตัวตนของเราในระหว่างการสัมภาษณ์ แต่ถ้าใครที่อยากฝึกทักษะภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเติมเราขอแนะนำกิจกรรม 交流会 (แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมญี่ปุ่น) ที่จัดขึ้นภายในสถาบันค่ะ นอกจากจะได้เพื่อนคนญี่ปุ่นแล้วยังทำให้เราได้ใช้ทักษะภาษาญี่ปุ่นในชีวิตจริงด้วย แนะนำมากๆ เลยค่ะ 
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้นะคะ ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นก็จะมีเส้นทางแห่งความหวังให้เราได้เดินไปต่อเสมอค่ะ ขอขอบคุณค่ะ


SHARE :